Photo via TNT Sports

อาร์เซนอล รองแชมป์พรีเมียร์ลีกเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ประเดิมฤดูกาลใหม่ด้วยการเปิดบ้านเอาชนะ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ไม่พลาดในการเก็บ 3 แต้ม

แม้ภารกิจจะสำเร็จลุล่วงตามที่ทีมคาดหวัง คือการคว้าชัยชนะเหนือคู่แข่ง แต่ด้วยผลสกอร์ที่ ปืนใหญ่ ยิงชนะคู่แข่งอย่าง ฟอเรสต์ ที่ถูกมองว่ามีโอกาสล่วงตกชั้นในฤดูกาลนี้ ชัยชนะเพียงแค่ 2-1 ในสนามเอมิเรสต์ สเตเดี้ยม ดูเหมือนจะมีการบ้านให้ อาร์เตต้า ต้องกลับไปปรับปรุงแก้ไขทีมของเขาอีกหลายจุด

สิ่งที่เห็นในเกม

เกมนี้ มิเกล อาร์เตต้า วางแทคติดที่แตกต่างออกไป แต่ก็เป็นรูปแบบการเล่นที่ทีมเคยใช้มาบ้างแล้วช่วงท้ายซีซั่นก่อน ด้วยส่งผู้เล่นกองหลังเพียงแค่ 3 คน คือ วิลเลี่ยม ซาลิบา, เบน ไวท์ และนักเตะใหม่อย่าง ยูร์เรี่ยน ทิมเบอร์ โดยให้ โธมัส ปาร์เตย์ ที่ตำแหน่งถนัดคือกองหลัง ถอยลงมายืนเป็นแบ็คขวา

Photo via Arsenal Buzz

แต่รูปแบบการเล่นจริงๆ ปาร์เตย์ ยังคงยับไปยืนเป็นมิดฟิลด์เหมือน ทำหน้าที่จ่ายบอลในจังหวะที่ทีมครองบอลเพื่อเล่นเกมรุก แต่เมื่อถึงจังหวะที่ทีมต้องเล่นเกมรับ ปาร์เตย์ จะถอยมายืนต่ำในระดับเดียวกับแผงกองหลัง เป็นระบบกองหลัง 4 คน ที่ อาร์เซนอล ใช้เป็นประจำ ซึ่ง อาร์เตต้า ตั้งใจใช้ระบบการเล่นแบบนี้ เพราะมั่นใจว่าการเจอกับทีมอย่าง ฟอเรสต์ ลูกทีมปืนใหญ่ของเขาจะเป็นฝ่ายครองบอล ทำเกมบุกเข้าใส่ มากกว่าที่จะเล่นเกมรับ รูปแบบการยืนของ อาร์เซนอล ในเกมนี้เมื่อเป็นฝ่ายครองบอลเพื่อทำเกมรุก จึงออกมาเป็น 3-4-3 บางช่วงเวลาที่ครองบอลบุกหนักก็อาจจะกลายเป็น 3-1-2-4 โดยที่มี มาร์ติน โอเดการ์ด และ ดีแคลน ไรซ์ เป็นกองกลางทำเกมรุก ในแดนหน้ามี 4 ผู้เล่นคือ กาเบรียล มาร์ตินเนลลี่, เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์, ไค ฮาแวร์ตซ์ และ บูกาโย่ ซาก้า คอยหาช่องหาโอกาสทำประตู 

ซึ่งต้องบอกว่านี้แท็คติกนี้ของ อาร์เตต้า ประสบความสำเร็จ เพราะเกมนี้ อาร์เซนอล มีสถิติครองบอลมากถึง 78%

Photo via ESPN

อาร์เซนอล เริ่มต้นเกมนี้ได้ตามแผนและทำได้ยอดเยี่ยม ยิงประตูนำห่าง 2-0 หลังจากเกมผ่านไปแค่ 32 นาที ถึงตอนนี้แฟนบอลปืนใหญ่จินตนาการไปแล้วทีมน่าจะเดินหน้าไล่ยิ่งถล่มใส่ ฟอเรสต์ เหมือนเมื่อซีซั่นก่อนที่ อาร์เซนอล เปิดบ้านเอาชนะไปถึง 5-0 แต่เกมนี้ไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะหลังจากขึ้น 2-0 ตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรกของเกม เกมรุกของปืนใหญ่กลับเจาะเกมรับของฟอเรสต์ไม่เข้า 

โดยในเกมนี้ อาร์เซนอล มีจังหวะยิงทั้งหมด 15 ครั้ง เข้ากรอบ 7 ครั้ง แต่สุดท้ายก็บวกประตูเพิ่งจาก 2-0 ไม่ได้ แถมยังมาเสียประตูในช่วงท้ายเกม ซึ่งเกิดขึ้นในจังหวะที่ทีมปืนใหญ่ได้เล่นลูกเตะมุม แต่กลับโดนฟอเรสต์ตัดบอลได้ และเป็น แอนโทนี่ เอลันก้า ดาวเตะคนใหม่ของ ฟอเรสต์ ที่เลี้ยงบอลขึ้นหน้าด้วยความเร็วก่อนจะจ่ายบอลให้ ไตโว อโวนิยี่ ยิงเข้าประตูไปแบบง่ายๆ

ทำให้เกมที่น่าจะเก็บชัยชนะได้แบบไม่ยากของ อาร์เซนอล กลายเป็นเกมที่ต้องมาลุ้นเหนื่อยในช่วงท้ายเกมกว่าจะคว้า 3 แต้มที่ต้องการมาครองได้สำเร็จ

Photo via Arsenal Buzz

มุมมอง – ปัญหาที่ อาร์เซนอล ต้องแก้ไข

ไม่มีความเด็ดขาดในเกมรุก

ผลการแข่งขัน 2-1 ในเกมที่ อาร์เซนอล ชนะ ฟอเรสต์ สะท้อนให้เห็นปัญหาเรื่องความเด็ดขาดในเกมรุกของทีมปืนใหญ่ ในเกมนี้พวกเขาครองบอล ครองเกม เหนือกว่าทีมแบบเบ็ดเสร็จ และสร้างโอกาสลุ้นยิงประตู 15 ครั้ง ยิงเข้ากรอบ 7 ครั้ง ถือว่าไม่มากแต่ก็ไม่น้อย แต่ถ้ามองที่รายละเอียด จังหวะยิงเข้ากรอบของ อาร์เซนอล ในเกมนี้มาจากผู้เล่นมิดฟิลด์อย่าง คีแคลน ไรซ์ ที่ทำได้มากที่สุด ยิง 3 ครั้ง เข้ากรอบทั้ง 3 ครั้ง ซึ่งแน่นอนว่ามาจากจังหวะยิงไกลจากนอกกรอบเขตโทษ ขณะที่ศูนย์หน้าอย่าง เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์ ที่ได้ลงเล่นแทนตัวจริงอย่าง กาเบรียล เฆซุส ที่บาดเจ็บ ได้ยิง 3 ครั้ง เข้ากรอบแค่ครั้งเดียว แม้ครั้งเดียวที่เข้ากรอบจะเปลี่ยนเป็นประตู แต่ถือว่ายังน้อยเกินไป สำหรับคนที่อยู่ใกล้ปากประตูคู่แข่งมากที่สุด

ซึ่ง อาร์เตต้า ก็คงเห็นถึงปัญหานี้ เขาจึงพยายามเฉลี่ยให้ผู้เล่นในเกมรุกทั้งหมดช่วยกันมีส่วนร่วมกับการยิงประตู เพราะจากจำนวน 15 ครั้งที่ทีมมีโอกาสยิงประตูในนัดนี้ มีนักเตะถึง 4 คนที่ได้ลุ้นยิงประตูถึง 3 ครั้ง นอกจาก ไรซ์ และ เอ็นเคเทียห์ อีก 2 คนคือ โอเดการ์ด และ ซาก้า  

Photo via Arsenal Buzz

ผู้เล่นใหม่ยังต้องใช้เวลาปรับตัว

เกมนี้ อาร์เซนอล ส่งผู้เล่นที่เพิ่งย้ายมาร่วมทีมลงสนามพร้อมกันทั้ง 3 คน คือ ไรซ์, ฮาแวร์ตซ์ และ ทิมเบอร์ ซึ่ง ฮาแวร์ตซ์ กับ ทิมเบอร์ ยืนทางฝั่งซ้ายของสนาม และต้องประสานงานกับ มาร์ติเนลลี่ ถ้าเป็นฤดูกาลที่แล้ว เกมทั้งฝั่งซ้ายของ อาร์เซนอล คือการประสานงานกันของ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้, กรานิต ชาก้า และ มาร์ตเนลลี่ ซึ่งผลงานที่ออกนั้นยอดเยี่ยม ทั้ง 3 คนเล่นร่วมกันได้อย่างโดดเด่น เข้าขารู้ใจ แต่ในเกมนี้เหมือนเป็นการเริ่มต้นใหม่ แม้ภาพรวมในสนามจะออกมาดูดี แต่แน่นอนว่ายังต้องให้เวลาผู้เล่นใหม่ปรับตัวกับแทคติกการเล่น เพราะสไตล์การของกุนซือ อาร์เตต้า ในทีมปืนใหญ่ ต้องใช้ความเข้าใจซึ่งกันและกันของนักเตะที่สูงมาก

วิเคราะห์เพิ่มเติม – สิ่งที่เป็นแง่บวกในเกม

การเล่นของ ดีแคลน ไรซ์

กองกลางค่าตัว 105 ล้านปอนด์ มีส่วนไม่น้อยกับการเล่นของ อาร์เซนอล ในเกมนี้ แม้เราจะคุ้นตากับการเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับสมัยอยู่กับ เวสต์แฮม แต่เมื่อมาอยู่กับปืนใหญ่ บทบาทของ ไรซ์ ถูกปรับให้ต้องเล่นในเกมรุกมากขึ้น ซึ่งต้องบอกว่าเกมนี้ ไรซ์ ทำหน้าที่ได้ดีมาก มีส่วนกับเกมรุกของทีมปืนใหญ่ทั้งการจ่ายบอลเข้าสู่พื้นที่สุดท้ายของคู่แข่งถึง 10 ครั้ง และหาจังหวะยิงเข้ากรอบ 3 ครั้ง มากที่สุดในเกมนี้ และเกือบจะมีชื่อเป็นผู้ทำประตู 

และเชื่อว่าถ้าในเกมไหนที่ อาร์เซนอล ต้องปรับแท็คติกเน้นเล่นเกมรับ มั่นใจว่า ไรซ์ ก็จะเป็นนักเตะที่สามารถช่วยให้การเล่นเกมป้องกันของทีมแข็งแกร่งขึ้นแน่นอน ซึ่งเป็นจุดเด่นของเขามาตลอดตอนที่เล่นกับทีมขุนค้อน

การเล่นที่หลากหลายของนักเตะ

รูปแบบการเล่นที่ มิเกล อาร์เตต้า ใช้กับ อาร์เซนอล มีความหลากหลายและปรับเปลี่ยนไปตามวิธีการเล่นของคู่แข่งที่เจอในแต่ละเกม อย่างในเกมนี้เขาเลือกให้มีมิดฟิลด์ที่จ่ายบอลดี ครองบอลดีถึง 4 คน (ปาร์เตย์, โอเดการ์ด, ไรซ์, ฮาแวร์ตซ์) และในแผงกองหลัง 3 คน ก็มีถึง 2 คงที่เล่นได้ดีทั้งตำแหน่ง เซ็นเตอร์แบ็ค และ ฟูลแบ็ค อย่าง เบน ไวท์ และ ยูร์เรี่ยน ทิมเบอร์ นั้นเป็นเพราะ อาร์เตต้า ต้องการให้ทีมครองบอลให้ได้มากที่สุด ซึ่งก็จะเพิ่มโอกาสสร้างสรรค์เกมรุกมากขึ้นตามไปด้วย

นั่นทำให้นักเตะที่จะเล่นเข้ากับระบบในแบบที่ อาร์เตต้า ต้องการ ก็ต้องสามารถเล่นได้หลากหลาย มีมิติการเล่นที่มากกว่าแค่มิติเดียว ซึ่งต้องบอกว่านักเตะอาร์เซนอลชุดนี้ แทบทุกคนสามารถเล่นได้มากกว่า 1 ตำแหน่ง สามารถขยับปรับตำแหน่งได้ตามแต่ละสถานการณ์ในเกมที่ทีมต้องรับมือ 

Photo via afcstuff

คริสตัล พาเลซ – คู่ต่อสู้ในเกมถัดไป

เกมพรีเมียร์นัดถัดไป อาร์เซนอล ต้องไปเยือนที่เซลเฮิร์ต์ พาร์ค ของ คริสตัล พาเลซ ที่นัดแรกบุกไปชนะ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 0-1 ถือเป็นเกมที่ไม่ง่ายสำหรับ ปืนใหญ่ แม้ฤดูกาลก่อนจะบุกมาชนะได้ 0-2 แต่ถ้าย้อนไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว อาร์เซนอล ก็เคยมาพาที่บ้านของ พาเลซ 3-0

ฤดูกาลนี้ พาเลซ แทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงตัวผู้เล่น จุดเด่นของพวกเขายังคงเป็นเกมรุกที่เน้นนักเตะที่มีความเร็ว พร้อมพาบอลทะยานไปข้างหน้าเมื่อมีโอกาส ส่วนในแดนกลางและเกมรับก็เน้นความดุดัน เข้าบอลหนัก ซึ่งไม่ใช่สไตล์การเล่นที่ ปืนใหญ่ ชื่นชอบ แน่นอนว่าแม้จะมาในฐานะทีมเยือน แต่ อาร์เซนอล จะยังคงเล่นในแท็คติกที่ทีมต้องเป็นฝ่ายที่ครองบอลมากกว่า เดินหน้าทำเกมรุกเข้าใส่ โดยเจ้าถิ่นรอจังหวะตัดบอลและโต้กลับเร็ว โดยเกมรุกของ พาเลซ จะน่ากลัวกว่า ฟอเรสต์ เพราะมีตัวทีเด็ดที่พร้อมทำประตูหลายคน

อาร์เซนอล จะยังคงเล่นเหมือนเดิม แต่อาจต้องเพิ่มความรัดกุมในเกมรับให้มากขึ้น และต้องไม่ให้เกิดความผิดพลาดในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ จนทำให้ทีมเสียประตู แบบที่เกิดขึ้นในเกมกับ ฟอเรสต์

🔶15 วินาทีทายผลเกมลุ้นรับรางวัล 👉 https://sytgn.com/premier-league2023

🔶ติดตาม SYT LINE ไม่พลาดข่าวการแข่งขันกีฬา 👉 https://sytgn.com/SYTlinefriends