Photo via The Telegraph

เป็นเกมที่ถือเป็นบททดสอบที่น่าสนใจของทั้ง 2 ทีม ไม่ว่าจะเป็นทางฝั่ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เจ้าบ้านและแชมป์เก่าที่ต้องดวลกับทีมที่ถูกมองว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นอีกหนึ่งผู้ท้าชิงแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้อย่าง นิวคาสเซิล ที่ผลงานพัฒนาขึ้นแบบก้าวกระโดดเมื่อซีซั่นก่อน

ส่วน นิวคาสเซิล การเจอกับ แมนฯซิตี้ คือบททดสอบสำคัญว่าพวกเขาพร้อมหรือยังสำหรับการท้าทายทีมที่ดีที่สุดของโลกในเวลานี้อย่าง แมนฯซิตี้ ซึ่งผลการแข่งขันจบลงด้วยชัยชนะของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-0

สิ่งที่เห็นในเกม

แมนฯซิตี้ เลือกใช้ผู้เล่นที่น่าจะเป็นชุดที่ดี่ที่สุดที่พวกเขามีในเวลานี้ โดยที่ขาดทั้ง เควิน เดอ บรอนย์ ที่เจ็บหนักที่หัวเข่าและต้องพักยาวหลายเดือน รวมทั้ง แบร์นาร์โด้ ซิลวา ที่ก็มีอาการบาดเจ็บไร้ชื่อในเกมนี้เช่นกัน ทำให้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ต้องใช้งาน ฟิล โฟเดน ทำหน้าที่จอมทัพในเกมรุก ประสานงานกับ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์, แจ็ค กรีลิช และ ฮูเลี่ยน อัลวาเรซ ขณะที่ นิวคาสเซิล ยังคงยึด 11 ตัวจริงจากเกมนัดที่แล้วที่ถล่มชนะ แอสตัน วิลล่า 5-1 แดนกลางมี บรูโน่ กีมาไรซ์ และ ซานโดร โตเนลลี่ ส่วนในเกมรุก อเล็กซานเดอร์ อิซัค ที่ทำ 2 ประตูในเกมที่แล้วยังคงตัวความในการจบสกอร์

เหมือน เป๊ป เองก็รู้ดีกว่า นิวคาสเซิล ในเวลานี้เป็นทีมที่จะประหม่าไม่ได้ สิ่งที่กุนซือชาวสเปนสั่งให้ลูกทีมเรือใบสีฟ้าของเขาทำในเกมนี้ก็คือ การครองบอล ปิดโอกาสการทำเกมและลุ้นทำประตูของคู่แข่ง เปอร์เซ็นต์การครองบอลของ แมนฯซิตี้ ในเกมนี้อยู่ที่ 58.7% ขณะที่ นิวคาสเซิล อยู่ที่ 41.3% และสิ่งที่ทำให้ยิ่งเห็นชัดถึงการที่ แมนฯซิตี้ พยายามครอบครองเกมเอาไว้เพื่อตัดเกมรุกคู่แข่งก็คือตัวเลขการจ่ายบอลที่ ซิตี้ ทำไปถึง 684 ครั้ง ส่วน สาลิกาดง ทำได้แค่ 477 ครั้ง

ซึ่งนั่นส่งผลโคยตรงต่อจังหวะการลุ้นทำประตู ในเกมนี้ นิวคาสเซิล มีโอกาสยิงประตู 7 ครั้ง เข้ากรอบเพียงแค่ครั้งเดียว และบวกกับ แมนฯซิตี้ ทำประตูออกนำได้สำเร็จในครึ่งชั่วโมงแรกของเกมจากลูกยิงของ อัลวาเรซ ทำให้ทุกอย่างก็แทบจะเข้าทางแท็คติกที่ เป๊ป วางเอาไว้ แม้ว่า นิวคาสเซิล จะพยายามหาทางทำเกมรุกเพื่อลุ้นทำประตู แต่เมื่อทีมอย่าง แมนฯซิตี้ ตั้งใจที่จะเน้นการครอบครงบอล ก็ไม่ง่ายที่ทีมไหนจะทำลายเกมของพวกเขา

Photo via Shields Gazette

มุมมองที่มีต่อเกม

ฟิล โฟเดน ตัวแทนของ เควิน เด บรอยน์

ในวันที่ แมนฯซิตี้ ขาดผู้เล่นตัวสร้างสรรค์เกมรุกในแดงกลางอย่าง เควิน เดอ บรอยน์ ที่อาจจะต้องพักนานถึงปีหลังเข้ารับการผ่าตัดอาการบาดเจ็บที่เอ็นไขว้หน้าหัวเข่า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า แก้ไขปัญหาด้วยการให้ ฟิล โฟเดน ทำหน้าที่แทน จากเดิมที่เรามักเห็นบทบาทของดาวเตะทีมชาติอังกฤษรายนี้ในตำแหน่งตัวรุกด้านข้าง ซึ่ง โฟเดน รับบาทกองกลางตัวสร้างสรรค์เกมในนัดนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม จ่ายบอลเพื่อให้ทีมมีโอกาสลุ้นทำประตู (chances created) ถึง 7 ครั้ง ซึ่ง 1 ในนั้นก็คือการจ่ายให้ อัลวาเรซ ยิงประตูชัยในเกมนี้ นอกจากนี้ยังหาจังหวะยิงเองได้ 3 ครั้ง เข้ากรอบ 1 ครั้ง เลี้ยงบอลหนีคู่แข่งสำเร็จ 3 ครั้ง และเรียกฟาวล์ 4 ครั้ง พูดได้เลยว่า โฟเดน คือหัวใจในเกมรุกของ แมนฯซิตี้ ในเกมนี้อย่างแท้จริง

วิเคราะห์เพิ่ม – สิ่งที่ แมนฯซิตี้ ต้องปรับปรุง

ฤดูกาลนี้ แมนฯซิตี้ ต้องเสียผู้เล่นตัวหลักทั้ง อิลคาย กุนโดกัน และ ริยาด มาห์เรซ ส่งผลกระทบต่อสมดุลของทีมอย่างชัดเจน ยิ่งทีมต้องมาเสีย เควิน เดอ บรอยน์ เพราะอาการบาดเจ็บ ยิ่งซ้ำเติมปัญหาเข้าไปอีก หากทีมยังต้องมีลุ้นทุกแชมป์เหมือนที่ทำสำเร็จเมื่อฤดูกาลที่แล้ว แมนฯซิตี้ จำเป็นต้องหานักเตะใหม่เข้าทดแทน เพื่อให้ขนาดทีมใหญ่กว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้

อย่างในเกมกับ นิวคาสเซิล ถ้ามองไปที่รายชื่อตัวสำรอง เต็มไปด้วยผู้เล่นดาวรุ่ง ซึ่ง เป๊ป ก็ไม่กล้าที่จะเสี่ยงส่งลงสนาม ทำให้ตลอดทั้งกับ นิวคาสเซิล เป๊ป ไม่เปลี่ยนผู้เล่นสำรองเลยแม้แต่คนเดียว เชื่อว่าก่อนปิดตลอดซื้อ-ขายนักเตะ แมนฯซิตี้ น่าจะดึงผู้เล่นใหม่เข้ามาเสริม โดยเฉพาะในตำแหน่งตัวรุก ล่าสุดมีข่าวว่าทีมใกล้ได้ตัว เจเรมี่ โดกู ปีกดาวรุ่งทีมชาติเบลเยียมจาก แร็นส์ ทีมในลีกเอิง ฝรั่งเศส เข้ามาเสริม ช่วยทีมไล่ล่าความสำเร็จอีกครั้งในฤดูกาลนี้

🔶15 วินาทีทายผลเกมลุ้นรับรางวัล 👉 https://sytgn.com/premier-league2023

🔶ติดตาม SYT LINE ไม่พลาดข่าวการแข่งขันกีฬา 👉 https://sytgn.com/SYTlinefriends