Photo via Real Madrid

ลูก้า โมดริช ยอดกองกลางทีมชาติโครเอเชีย วัย 37 ปี ประสบความสำเร็จมากมายกับสโมสรเรอัล มาดริด คว้าแชมป์มากกว่า 20 ถ้วยรางวัล ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการคว้าแชมป์ถ้วยใหญ่ของยุโรปอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ถึง 5 สมัย

แต่กว่าจะประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้ โมดริช ต้องต่อสู้บนเส้นทางนักฟุตบอลอาชีพมาไม่น้อย เราจะพาย้อนไปดูบางช่วงเวลาที่ โมดริช ต้องรับมือกับปัญหาทั้งในและนอกสนาม ไปดูว่าดาวเตะเจ้าของรางวัลบัลลงดอร์คนนี้ฝ่าฝันอะไรมาบ้าง

Photo via Flashscore.com

เติบโตในช่วงสงครามประกาศอิสรภาพของโครเอเชีย

สงครามเพื่อเอกราชของโครเอเชียมีการต่อสู้ระหว่างปี 1991-1995 สงครามนี้เกิดขึ้นระหว่างผู้ภักดีต่อรัฐบาลและกองทัพประชาชนยูโกสลาเวียที่ควบคุมโดยเซิร์บ

ในเวลานั้น ลูก้า โมดริช อายุแค่ 6 ขอบ แม้จะยังเด็กมากจนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในสงครามที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับชาวโครแอตผู้บริสุทธิ์คนอื่นๆ เขาตกเป็นเหยื่อของสงคราม หมู่บ้านของ โมดริช ถูกยึดครองโดยกลุ่มกบฏชาวเซิร์บ และปู่ของเขาก็เสียชีวิตในสงครามครั้งนี้

ประสบการณ์และสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายนี้อาจคร่าชีวิตของเขาและคนอื่นๆ สิ่งนี้ทำให้ครอบครัวของเขาหนีออกจากบ้านและไปย้ายไปอยู่ที่เมืองซาดาร์ในฐานะผู้ลี้ภัยและต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นั้นนานหลายปี

Photo via RTE

โดน สเปอร์ ขวาง ไม่ให้ย้ายไป เชลซี

โมดริช ย้ายไปเล่นในถิ่นไวท์ฮาร์ทเลน ในเดือนเมษายน 2008 และเซ็นสัญญายาวถึง 6 ปี ผลงานของเขากับ สเปอร์ ช่วงแรกอาจไม่มีอะไรที่โดดเด่นมากนัก แต่เมื่อ แฮร์รี่ เรดแนปป์ เข้ามาเป็นโค้ช เขาก็เริ่มฉายแววความยอดเยี่ยม โมดริช มีส่วนช่วยให้ สเปอร์ ได้ผ่านเข้าไปเล่นในฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ในรอบเกือบ 50 ปี โดยเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศของทัวร์นาเมนต์ฤดูกาล 2010–11

ในช่วงกลางปี ค.ศ. 2011 โมดริช ได้รับความสนใจอย่างจริงจังจาก เชลซี คู่แข่งในลอนดอนของ ท็อตแน่ม โดยได้ยื่นของเสนอมูลค่า 22 ล้านปอนด์ เพื่อคว้าตัว โมดริช แต่ สเปอร์ ตอบปฏิเสธ ซึ่งแม้ว่า เชลซี จะเพิ่มข้อเสนอเป็น 27 ล้านปอนด์ แต่ประธานของ สเปอร์ อย่าง แดเนียล เลวี ยังคงยืนกรานไม่ปล่อยนักเตะคนสำคัญของทีมไปให้กับคู่แข่งร่วมลีก 

ซึ่งเรื่องนี้สร้างความไม่พอใจให้กับ โมดริช เพราะตัวเขามี “ข้อตกลงของสุภาพบุรุษ” กับ เลวี่ เอาไว้ว่า หากมีข้อเสนอจาก “สโมสรใหญ่” สเปอร์ ต้องพร้อมเปิดทางให้เขาย้ายทีม ซึ่งการที่ โมดริช อดย้ายทีมอย่างที่หวัง ทำให้เขาปฏิเสธที่จะลงเล่นในนัดเปิดฤดูกาล 2011–12 ที่ สเปอร์ พบกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งจบลงด้วยการแพ้ 3–0 แม้ว่า เชลซี จะพยายามจนถึงวันสุดท้ายของตลาดซื้อ-ขายนักเตะด้วยการยื่นข้อเสนอ 40 ล้านปอนด์เพื่อของซื้อ โมดริช แต่ สเปอร์ ยังคงตอบปฏิเสธ ซึ่งเมื่อโอกาสย้ายทีมในฤดูกาลดังกล่าวถูกปิดลง โมดริช ก็ต้องดึงสมาธิของตัวเองกลับมาและได้ลงเล่นเป็นตัวหลักให้กับ สเปอร์ อีกครั้ง หลังจากถูก สเปอร์ ลงโทษปรับเงินเนื่องจากปฏิเสธที่จะฝึกซ้อมและลงเล่นให้กับสโมสร โมดริช ลงเล่นไปถึง 41 เกม ทำได้ 5 ประตู กับ 6 แอสซิสต์ พาทีมจบอันดับที่ 4 ในลีก

แต่สุดท้ายหลังจบฤดูกาล 2011-12 โมดริช ก็ได้ย้ายไปอยู่กับ เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัว 30 ล้านปอนด์

Photo via Planet Football

ถูกสื่อสเปนเลือกให้เป็นการเซ็นสัญญาที่แย่ที่สุดของปี 2012

Marca สื่อรายวันของสเปน เลือกให้ โมดริช เป็นการเซ็นสัญญาที่แย่ที่สุดของฤดูกาล 2012-13 แซงหน้า อเล็กซ์ ซง ที่ย้ายจาก อาร์เซนอล มาอยู่กับ บาร์เซโลน่า โดยได้รับคะแนนโหวต 32.2% 

โดยฤดูกาลแรกของ โมดริช ในทีมราชันชุดขาว เขาต้องเจอกับการแข้งขันอันเข้มข้นในตำแหน่งมิดฟิลด์ เพราะในเวลานั้นทีมมีผู้เล่นกองกลางชื่อดังมากมาย ทั้ง ชาบี อลองโซ่, เมซุต โอซิล, ซามี่ เคดิร่า และ มิคาเอล เอสเซียง ทำให้ช่วงแรกของ โมดริช กับ มาดริด แทบไม่ได้แสดงผลงานอะไรเลย เมื่อพิจารณาถึงค่าตัวที่สูงสำหรับดาวเตะชาวโครแอต สื่อที่จับจ้องเขาอยู่แล้วจึงได้โหวตให้เป็นการเซ็นสัญญาที่แย่ที่สุดของปี 2012 อย่างไรก็ตาม เขาก็ทำให้เสียงวิจารณ์เหล่านี้เงียบลงเมื่อเวลาผ่านไป พิสูจน์ผลงานให้เห็นแล้วว่าเขาคือมิดฟิลด์ที่ยอดเยี่ยมมากแค่ไหน

🔶15 วินาทีทายผลเกมลุ้นรับรางวัล 👉 https://sytgn.com/premier-league2023

🔶ติดตาม SYT LINE ไม่พลาดข่าวการแข่งขันกีฬา 👉 https://sytgn.com/SYTlinefriends