เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่เดือนการแข่งขัน ฟุตบอลลีก ทั่วยุโรปในฤดูกาล 2022-2023 ก็จะรูปม่านปิดฉากแล้ว ซึ่งมีหลายสโมสรทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับทีมที่ถูกบัญชาการโดยเทรนเนอร์รุ่นใหม่
ในปีนี้ บรรดากุนซืออายุน้อยหลายคนต่างแสดงศักยภาพขององตัวเองกันอย่างเต็มที่ ทำให้พวกเขาจนได้รับการชื่นชมมากมาย ซึ่งบางรายใช้แท็คติคเปลี่ยนทีมระดับกลางให้กลายเป็นทีมที่เล่นฟุตบอลด้วยเกมรุกสนุกเร้าใจ และครองบอลสู้กับทีมใหญ่สบายๆ
4 ผู้จัดการทีมไฟแรงเหล่านี้พิสูจน์ให้วงการฟุตบอลได้เห็นแล้วว่า พวกเขามีฝีมือมากพอที่จะก้าวขึ้นมาครองความสำเร็จได้ในอนาคต
1. ยูเลียน นาเกิลส์มันน์ (บาเยิร์น มิวนิค อายุ 35 ปี) จาก ฟุตบอลลีก เยอรมัน
ในวัยเพียง 35 ปี นาเกลส์มันน์ ได้รับการยกย่องว่า เป็นหนึ่งเทรนเนอร์จอมอัจฉริยะอันดับต้นๆของลูกหนังยุโรปเลยก็ว่าได้ และสิ่งที่หลายคนไม่เคยรู้มาก่อนคือ เจ้าตัวเข้าสู่เส้นทางการคุมทีมด้วยวัยเพียง 20 ปี เท่านั้น
ช่วงเวลาที่สร้างชื่อให้กับ นาเกิลส์มันน์ มากที่สุดคือ ในระหว่างปี 2016-19 ที่กำลังทำงานกับ ฮอฟไฟ่นไฮม์ พร้อมกับสร้างสถิติเป็นโค้ชที่อายุน้อยที่สุดในศึก บุนเดสลีกาและได้รับการยกย่องว่า จะก้าวมาคุมทีมยักษ์ใหญ่ได้ในอนาคต
หลังทำผลงานให้กับ ฮอฟเฟ่นไฮม์ ได้อย่างน่าประทับใจ แอร์เบ ไลป์ซิก ก็ไม่รอช้าที่จะดึงตัว นาเกลส์มันน์ ไปกุมบังเหียนเมื่อปี 2019 ซึ่งเจ้าตัวทำงานในถิ่น เร้ดบลู อารีน่า ได้เพียง 2 ปี ก็ได้รับโอกาสครั้งสำคัญในชีวิตด้วยการโยกมาคุม บาเยิร์น
ปัจจุบัน นาเกิลส์มันน์ คุม บาเยิร์น เข้าสู่ปีที่ 2 แล้ว โดยพาพลพรรค “เสือใต้” คว้าแชมป์บุนเดสลีกา ได้ 1 สมัยด้วยกัน
2. โรแบร์โต้ เด แซร์บี้ (ไบรท์ตัน)
สำหรับวงการฟุตบอลอิตาลี กุนซือส่วนใหญ่มักจะขึ้นชื่อเรื่องการเล่นเกมรับที่เหนียวแน่อน เน้นผลการแข่งขัน และอาศัยจังหวะเฉียบขาดในการทำประตู แต่สำหรับ เด แซร์บี้ เขาฉีกกฎเดิมๆ และแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง
เทรนเนอร์วัย 43 ปี เริ่มสร้างชื่อกับ ปาแลร์โม่ และ เบเนเวนโต้ จากนั้น ก็โยกไปคุม ซาสซูโอโล่ เป็นเวลา 3 ปี และทำผลงานได้อย่าวน่าประทับใจ โดยพาทีมจบด้วยอันดับที่ 11 และ 8 ในตารางคะแนนกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี
หลังอำลา ซาสซูโอโล่ ในปี 2021 เด แซร์บี้ ก็ไปรับงานที่ ชัคตาร์ โดเนทสค์ ในลีกยูเครน 1 ปี และข้ามฟากมาสร้างความสั่นสะเทือนให้วงการฟุตบอลอังกฤษด้วยการเข้ามารับงานคุม ไบรท์ตัน ต่อจาก เกรแฮม พ็อตเตอร์ เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว
โค้ชเลือดมะกะโรนี ทำงานที่ ไบรท์ตัน ได้แบบไร้รอยต่อ เขาทำให้ “นกนางนวล” เล่นฟุตบอลได้สวยงาม และมอบโอกาสให้นักเตะอย่าง คาโอรุ มิโตมะ และ อีวาน เฟอร์กูสัน ได้แจ้งเกิดอย่าเต็มตัว
3. ยูเลียน สเตฟาน (ว่างงาน)
แม้จะมีประสบการณ์คุมทีมไม่เยอะนัก แต่ สเตฟาน มีดีกรีคว้าแชมป์มาแล้ว 1 รายการ คือ ฟุตบอลถ้วย คูเป เดอ ฟรองซ์ ด้วยการพาอดีตทีมเก่าอย่าง แรนส์ เอาชนะ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง สโมสรเบอร์หนึ่งของฝรั่งเศส ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
หลังทำงานกับ แรนส์ มาเป็นเวลา 3 ปี เทรนเนอร์วัย 43 ปี ก็โยกไปคุม สตาร์สบูร์ก ในฤดูกาล 2021 โดย สเตฟาน ถนัดการคุมทีมในระบบ 4-2-3-1 และใช้การผสมผสานระหว่างนักเตะอายุน้อยมากพรสวรรค์ที่กำลังกระหายเล่นร่วมกับบรรดาแข้งมากประสบการณ์ได้อย่างเข้าขาลงตัว
ช่วงที่ผ่านมา สตาร์สบูร์ก ไม่ได้มีแนวทางการเล่นที่เป็นเอกลักษณ์นัก แต่หลังจาก สเตฟาน เข้ามากุมบังเหียน พวกเขากลายเป็นทีมที่กล้าครองบอลสู้กับคู่แข่ง และพร้อมเปิดเกมรุกโจมตีทันทีเมื่อมีโอกาส แต่น่าเสียดายที่เจ้าตัวโดนไล่ออกเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา
4. รูเบน อโมริม (สปอร์ติ้ง ลิสบอน อายุ 35 ปี) จาก ฟุตบอลลีก โปรตุเกส
หลังแขวนสตั๊ดจากเส้นทางอาชีพนักฟุตบอลที่ยอดเยี่ยมกับ 2 สโมใรสนบ้านเกิดอย่าง เบนฟิก้า และ บราก้า ในบ้านเกิด รวมถึงมีชื่อติดทีมชาติโปรตุเกสไปลุยศึก ฟุตบอลโลก รอบสุดท้ายมาแล้ว 2 ครั้ง อโมริม เริ่มจับงานผู้จัดการทีมครั้งแรกกับ คาซ่า เปีย ในปี 2018
ต่อมาในเดือนกันยายนปี 2019 อดีตมิดฟิลด์ทัพ “ฝอยทอง” ก็โยกไปคุม บราก้า ชุด บี และอีก 3 เดือนต่อมาเข้าได้โปรโมทขึ้นไปกุมบังเหียนทีมชุดใหญ่จนจบฤดูกาล และทำผลงานยอดเยี่ยมด้วยการเก็บชัยชนะได้ถึง 10 เกม เสมอ 1 แพ้ 2 จาก 13 นัดที่คุมทีม
หลังสร้างชื่อกับ บราก้า อโมริม ก็ได้รับการทาบทามจากสโมสรดังในโปรตุเกสอย่าง เบนฟิก้า, เอฟซี ปอร์โต และ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ซึ่งในที่สุดเจ้าตัวก็เลือก ลิสบอน พร้อมกับเซ็นสัญญายาว 3 ปี พ่วงด้วยค่าฉีกสัญญาถึง 20 ล้านยูโรเลยทีเดียว
ปัจจุบัน อโมริม คุม ลิสบอน เข้าสู่ปีที่ 3 แล้ว โดยพาทีมคว้าแชมป์ลีกได้ 1 สมัย และแชมป์ฟุตบลอถ้วยในปะรเทศ 2 สมัย
🔶15 วินาทีทายผลเกมลุ้นรับรางวัล 👉 https://th.sytesports.com/latest-sweepstakes/
🔶ติดตามSYT LINE ไม่พลาดข่าวการแข่งขันกีฬา 👉 https://sytgn.com/SYTlinefriends
